มาทำความรู้จักกัน
ISO 9001:2015 เป็นมาตรฐานระบบการจัดการคุณภาพ (Quality Management System - QMS) ที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก องค์กรที่นำมาตรฐานนี้ไปใช้สามารถ ควบคุมคุณภาพ และ ปรับปรุงกระบวนการทำงาน ให้มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้สามารถส่งมอบสินค้าและบริการที่มีคุณภาพ ตรงตามความต้องการของลูกค้า ได้อย่างสม่ำเสมอ
มาตรฐาน ISO 9001 จัดทำขึ้นโดย องค์การระหว่างประเทศว่าด้วยการมาตรฐาน (International Organization for Standardization – ISO) ซึ่งเป็นองค์กรอิสระที่มีสมาชิกจากกว่า 160 ประเทศทั่วโลก
ISO 9001 เวอร์ชันล่าสุดคือ 9001:2015 ซึ่งเป็นการปรับปรุงจากเวอร์ชันก่อนหน้า (ISO 9001:2008) โดยเน้นแนวคิด การบริหารความเสี่ยง (Risk-Based Thinking) และการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อ
ISO 9001:2015 ออกแบบมาโดยอ้างอิง 7 หลักการบริหารคุณภาพ (Seven Quality Management Principles) ซึ่งช่วยให้องค์กรมีแนวทางที่ชัดเจนในการบริหารคุณภาพ ได้แก่:
1. การมุ่งเน้นที่ลูกค้า (Customer Focus)
ลูกค้าคือหัวใจของธุรกิจ ทุกองค์กรต้องเข้าใจความต้องการและความคาดหวังของลูกค้า และพัฒนากระบวนการให้สามารถส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ได้
การสำรวจความพึงพอใจของลูกค้า
การลดข้อร้องเรียนและเพิ่มความไว้วางใจ
การส่งมอบสินค้าที่มีคุณภาพและตรงเวลา
2. ภาวะผู้นำ (Leadership)
ผู้นำที่ดีต้องมีวิสัยทัศน์และสามารถผลักดันองค์กรให้เดินหน้าไปในทิศทางที่ถูกต้อง
การกำหนดนโยบายคุณภาพและเป้าหมายที่ชัดเจน
การสนับสนุนและสร้างแรงจูงใจให้กับพนักงาน
การสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่มุ่งเน้นคุณภาพ
3. การมีส่วนร่วมของบุคลากร (Engagement of People)
พนักงานทุกคนมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาและรักษาคุณภาพขององค์กร
การฝึกอบรมและพัฒนาทักษะของพนักงาน
การสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับเป้าหมายด้านคุณภาพ
การกระตุ้นให้พนักงานมีส่วนร่วมในการปรับปรุงกระบวนการ
4. การบริหารงานโดยใช้กระบวนการ (Process Approach)
การบริหารจัดการโดยใช้แนวคิดกระบวนการช่วยให้เกิดความเป็นระบบ และทำให้แต่ละกิจกรรมภายในองค์กรมีประสิทธิภาพมากขึ้น
การระบุและควบคุมกระบวนการที่สำคัญ
การลดข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นซ้ำ
การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากร
5. การปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง (Improvement)
องค์กรต้องมีแนวทางในการปรับปรุงกระบวนการให้ดีขึ้นอยู่เสมอ
การวิเคราะห์ปัญหาและหาสาเหตุ (Root Cause Analysis)
การกำหนดมาตรการป้องกันข้อผิดพลาด (Preventive Action)
การทบทวนและปรับปรุงระบบการทำงานเป็นประจำ
6. การตัดสินใจโดยใช้หลักฐาน (Evidence-Based Decision Making)
การตัดสินใจที่ดีต้องอ้างอิงข้อมูลและข้อเท็จจริงที่ตรวจสอบได้
การวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติ
การใช้ข้อมูลเพื่อลดของเสียและเพิ่มผลผลิต
การวัดประสิทธิภาพของแต่ละกระบวนการ
7. การบริหารความสัมพันธ์ (Relationship Management)
การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า ซัพพลายเออร์ และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเป็นปัจจัยสำคัญต่อความสำเร็จขององค์กร
การพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างองค์กรกับลูกค้า
การบริหารห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Management)
การทำงานร่วมกันแบบยั่งยืนกับซัพพลายเออร์
ช่วยให้องค์กรทำงานอย่างเป็นระบบ ลดข้อผิดพลาดและเพิ่มความสม่ำเสมอของกระบวนการทำงาน
เพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า สร้างความมั่นใจในคุณภาพของสินค้าและบริการ
เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ การได้รับการรับรอง ISO 9001 ทำให้ลูกค้าและพันธมิตรเชื่อมั่นในองค์กร
ลดต้นทุนและความสูญเสีย ลดของเสียและปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากร
ช่วยให้สอดคล้องกับข้อกำหนดทางกฎหมายและมาตรฐานอุตสาหกรรม
การวางแผนและเตรียมตัว ศึกษาข้อกำหนด ISO 9001 และกำหนดแนวทางการดำเนินงาน
การออกแบบระบบและเอกสาร จัดทำคู่มือคุณภาพ (Quality Manual) และระเบียบปฏิบัติต่างๆ
การอบรมและสื่อสาร ให้ความรู้แก่พนักงานเกี่ยวกับมาตรฐาน ISO 9001
การนำระบบไปใช้ ปฏิบัติตามกระบวนการที่กำหนดและติดตามผล
การตรวจสอบภายใน (Internal Audit) ตรวจสอบว่าระบบมีประสิทธิภาพหรือไม่
การขอการรับรองจากหน่วยงานภายนอก ให้หน่วยงานรับรองมาตรฐาน (Certification Body) ทำการตรวจสอบ
การได้รับใบรับรอง ISO 9001 องค์กรจะได้รับใบรับรองหากผ่านการตรวจสอบ