ISO 13485:2016 เป็นมาตรฐานสากลที่กำหนดข้อกำหนดสำหรับระบบการจัดการคุณภาพ (Quality Management System: QMS) เฉพาะสำหรับอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ (Medical Devices) มาตรฐานนี้ได้รับการพัฒนาและเผยแพร่โดยองค์การระหว่างประเทศว่าด้วยการมาตรฐาน (International Organization for Standardization: ISO) และเป็นเวอร์ชันล่าสุดของ ISO 13485 ซึ่งแทนที่เวอร์ชันก่อนหน้า (ISO 13485:2003)
ISO 13485:2016 ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยให้องค์กรที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบ, การพัฒนา, การผลิต, การติดตั้ง, และการบริการเครื่องมือแพทย์ สามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดทางกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมุ่งเน้นที่การประกันคุณภาพและความปลอดภัยของเครื่องมือแพทย์ เพื่อให้มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์มีคุณภาพและปลอดภัยสำหรับผู้ใช้
การประกันคุณภาพเครื่องมือแพทย์: เพื่อให้มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์เครื่องมือแพทย์มีคุณภาพและปลอดภัยสำหรับผู้ใช้
การปฏิบัติตามกฎระเบียบ: ช่วยให้องค์กรปฏิบัติตามข้อกำหนดทางกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับเครื่องมือแพทย์ในทุกประเทศที่ดำเนินธุรกิจ
การจัดการความเสี่ยง: เน้นการประเมินและจัดการความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับเครื่องมือแพทย์ตลอดวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์
การปรับปรุงกระบวนการ: ส่งเสริมให้องค์กรมีการปรับปรุงกระบวนการอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดข้อผิดพลาด
มาตรฐาน ISO 13485:2016 มีโครงสร้างที่คล้ายคลึงกับ ISO 9001:2015 (มาตรฐานระบบการจัดการคุณภาพทั่วไป) แต่มีข้อกำหนดเพิ่มเติมที่เฉพาะเจาะจงสำหรับอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ โดยมีโครงสร้างหลักดังนี้:
ขอบเขต (Scope)
กำหนดขอบเขตของระบบการจัดการคุณภาพที่องค์กรต้องปฏิบัติตาม
ครอบคลุมทุกกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับเครื่องมือแพทย์ เช่น การออกแบบ, การผลิต, การจัดจำหน่าย, การติดตั้ง, และการบริการ
ข้อกำหนดสำหรับเอกสาร (Documentation Requirements)
องค์กรต้องมีเอกสารที่จำเป็นเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานและควบคุมกระบวนการต่างๆ
เอกสารเหล่านี้รวมถึง:
นโยบายคุณภาพ (Quality Policy)
วัตถุประสงค์คุณภาพ (Quality Objectives)
คู่มือคุณภาพ (Quality Manual)
บันทึกต่างๆ (Records)
ความรับผิดชอบของฝ่ายบริหาร (Management Responsibility)
ฝ่ายบริหารต้องแสดงความมุ่งมั่นในการพัฒนาปรับปรุงระบบการจัดการคุณภาพอย่างต่อเนื่อง
ต้องกำหนดนโยบายคุณภาพและวัตถุประสงค์คุณภาพที่ชัดเจน
ต้องจัดให้มีการทบทวนฝ่ายบริหารเป็นระยะเพื่อประเมินประสิทธิภาพของระบบ
การจัดการทรัพยากร (Resource Management)
องค์กรต้องจัดหาทรัพยากรที่จำเป็น รวมถึงบุคลากรที่มีความสามารถและสิ่งอำนวยความสะดวกที่เหมาะสม
ต้องมีการฝึกอบรมและพัฒนาบุคลากรอย่างต่อเนื่อง
ต้องควบคุมสภาพแวดล้อมการทำงานเพื่อให้มั่นใจในคุณภาพของผลิตภัณฑ์
การผลิตและการให้บริการ (Product Realization)
องค์กรต้องควบคุมกระบวนการผลิตและการให้บริการเพื่อให้มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์เป็นไปตามข้อกำหนด
ต้องมีการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างเป็นระบบ
ต้องควบคุมกระบวนการจัดซื้อและการตรวจสอบวัสดุที่ได้รับ
ต้องควบคุมกระบวนการผลิตและการให้บริการ
การวัด การวิเคราะห์ และการปรับปรุง (Measurement, Analysis, and Improvement)
องค์กรต้องมีการวัดและติดตามประสิทธิภาพของระบบการจัดการคุณภาพ
ต้องมีการตรวจสอบภายในและการทบทวนฝ่ายบริหารเป็นระยะ
ต้องมีการจัดการกับข้อร้องเรียนและการเรียกคืนผลิตภัณฑ์
ISO 13485:2016 มีข้อกำหนดเพิ่มเติมที่เฉพาะเจาะจงสำหรับอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ ซึ่งแตกต่างจากมาตรฐาน ISO 9001:2015 ดังนี้:
การจัดการความเสี่ยง (Risk Management)
องค์กรต้องมีการประเมินและจัดการความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับเครื่องมือแพทย์ตลอดวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์
ต้องบูรณาการการจัดการความเสี่ยงเข้ากับกระบวนการต่างๆ เช่น การออกแบบ, การผลิต, และการให้บริการ
การปฏิบัติตามกฎระเบียบ (Regulatory Compliance)
องค์กรต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดทางกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับเครื่องมือแพทย์ในทุกประเทศที่ดำเนินธุรกิจ
ต้องมีการติดตามและปรับปรุงการปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างต่อเนื่อง
การควบคุมเอกสารและบันทึก (Document and Record Control)
องค์กรต้องควบคุมเอกสารและบันทึกที่เกี่ยวข้องกับระบบการจัดการคุณภาพ
ต้องมีการจัดเก็บและรักษาบันทึกเป็นระยะเวลาที่กำหนดตามกฎระเบียบ
การตรวจสอบภายใน (Internal Audits)
องค์กรต้องจัดให้มีการตรวจสอบภายในเป็นระยะเพื่อประเมินประสิทธิภาพของระบบการจัดการคุณภาพ
ต้องมีการดำเนินการแก้ไขและป้องกันเมื่อพบข้อบกพร่อง
การจัดการกับผลิตภัณฑ์ที่ไม่เป็นไปตามข้อกำหนด (Control of Nonconforming Product)
องค์กรต้องมีกระบวนการจัดการกับผลิตภัณฑ์ที่ไม่เป็นไปตามข้อกำหนด
ต้องมีการตรวจสอบและตัดสินใจว่าจะทำการแก้ไข, เรียกคืน, หรือทำลายผลิตภัณฑ์
การปฏิบัติตามกฎระเบียบ: ช่วยให้องค์กรปฏิบัติตามข้อกำหนดทางกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับเครื่องมือแพทย์
การเพิ่มความน่าเชื่อถือ: การได้รับการรับรอง ISO 13485:2016 ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและความมั่นใจให้กับลูกค้าและคู่ค้า
การปรับปรุงกระบวนการ: ช่วยให้องค์กรมีการจัดการกระบวนการผลิตและการบริการที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
การเข้าถึงตลาดสากล: การได้รับการรับรอง ISO 13485:2016 ช่วยให้องค์กรสามารถเข้าถึงตลาดสากลได้ง่ายขึ้น เนื่องจากเป็นที่ยอมรับในระดับโลก
องค์กรที่ต้องการได้รับการรับรอง ISO 13485:2016 ต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบจากองค์กรรับรองที่ได้รับการยอมรับ โดยมีขั้นตอนหลักดังนี้:
การเตรียมความพร้อม: องค์กรต้องเตรียมระบบการจัดการคุณภาพให้สอดคล้องกับข้อกำหนดของ ISO 13485:2016
การตรวจสอบเบื้องต้น (Pre-assessment Audit): เพื่อประเมินความพร้อมขององค์กรก่อนการตรวจสอบจริง
การตรวจสอบรับรอง (Certification Audit): องค์กรรับรองจะทำการตรวจสอบเพื่อประเมินว่าองค์กรปฏิบัติตามข้อกำหนดของมาตรฐานหรือไม่การตรวจสอบติดตามผล (Surveillance Audits): หลังจากได้รับการรับรอง องค์กรจะต้องมีการตรวจสอบติดตามผลเป็นระยะเพื่อรักษาการรับรอง